วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Supra Skytop

Supra Skytop




ครั้งนี้ปิดท้ายกันด้วยsupraครับและนีี่่ก็เป็นรุ่นสุดท้ายแล้วที่ผมจะมานำเสนอนั่นก็คือรุ่น Supra Skytop ซึ่งเป็นที่นิยมมากอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่ามีรูปทรงสวยหรู สีสันหลากหลายและยังเะป็นรองเท้าที่มีบุคคลที่มีชื่อเสียงนิยมใส่กันอยู่เป็นจำนวนมาก อีกด้วย





แล้วถ้าจะให้ยกบุคคลที่มีชื่อเสียงที่เลือกสวมใส่เจ้ารองเท้าคู่นี้แล้วล่ะก็คงจะหนีไม่พ้นหนุ่มน้อย justin bieber นั่นเอง ซึ่งนักร้องหนุ่มคนนี้นั้นมีข่าวว่า เขามีรองเท้ารุ่นนี้สะสมอยู่้เป็นนับสิบนับร้อยคู่เลยที่เดียวครับ




นี่ล่ะครับSupra Skytopรองเท้ายอดนิยมที่ใครๆก็อยากได้เป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะใส่เที่ยว ใส่เดิน ใส่เล่นกีฬาหรือใส่เต้น ก็เท่ได้ทั้งนั้นและยังป้องกันข้อเท้าได้ดีด้วยล่ะครับ


และนี่คือครั้งสุดท้ายในการอัพบล็อคนี้นะครับ ขอขอบคุณในทุกๆอย่างที่ผ่านมาและขอบคุณข้อมูลจากหลายๆทีี่ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ





NIKE SB STEFAN JANOSKI "WOLF GREY"




และแล้วก็เป็นnikeอีกครั้งครัลในครั้งนี้แต่รับรองว่าคุ้มค่าแก่ทำความรู้ๆจักแน่ๆครับ ใครที่ชอบรองเท้าสไตล์เรียบๆแต่ดูโฉบเฉี่ยวห้ามพลาดเลยครับ



NIKE SB STEFAN JANOSKI "WOLF GREY" รุ่นนี้นั้นมีเป็นผ้าใบครับ ออกแบบในสไตล์เรียบๆแต่ดูมีอะไร สีเทาและสีขาวนั้นเข้ากันอย่างที่สุด และมีเชือกรองเท้าเป็นทรงกลม  ทำเอาหลงไหลในรองเท้าคู่นี้เลยล่ะครับ



เป็นยังไงบ้างครับกับNIKE SB STEFAN JANOSKI "WOLF GREY"ถูกใจกันไหมล่ะึครับ ถึงจะมีข้อมูลอยู่น้อยมาก แต่ด้วยความชอบก็อดใจไม่ไหวจริงๆ เอาไปเลยครับเต็ม10 ขออภัยในความเอาแต่ใจของผมด้วยครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
siamsneaker.blogspot.com

NIKE SB ERIC KOSTON "BLACK/CRYSTAL MINT"





และในวันนี้เราก็จะกลับมาที่รองเท้ายอดนิยมในใจผมเช่นเคยอย่าง NIKE SB ERIC KOSTON "BLACK/CRYSTAL MINT" โดยรุ่นนี้เป็นซิกเนเจอร์ของ ERIC KOSTON  นั่นเองครับ





ภาพของERIC KOSTON



ในปี 2012 ที่ผ่านมา สี Mint เป็นสีที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นสีที่แนว Street Fashion ให้ความสำคัญในการนำมาใช้ในการออกแบบ
ทำให้เห็นสินค้าหลายๆแบรนด์เลทือกใช้สีนี้
แต่ที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จก็คือ NIKE SB ได้ใช้สีนี้ในการนำมาเป็นสี Swoosh (โลโก้ไนกี้)
ให้กับรองเท้ารุ่น STEFAN JANOSKI ซึ่งก็ไม่ทำให้สาวกของ  STEFAN JANOSKI ผิดหวัง เพราะทำออกมาได้ลงตัวมากทั้งในรุ่น 
BLACK MINT และ JADE MINT



มีการสลักชื่้อERIC KOSTONไว้ที่ลิ้นของรองเท้า


มาครั้งนี้ NIKE SB ERIC KOSTON ก็ออกมากับสี BLACK/CRYSTAL MINT 
ออกแบบได้ลงตัวมากครับ เพราะสีคลาสสิคของรุ่น ERIC KOSTON คือสีดำ/ขาว พอรุ่นนี้เปลี่ยนจาก Swoosh สีขาวมาเป็นสีมิ้น ก็ทำให้ตัว Swoosh เด่นขึ้นและลายของพื้นด้านล่าง ก็เป็นสีมิ้นด้วยเช่นกัน

เป็นยังไงกันบ้างครับหวังว่าคงจะถูกใจกันไม่น้อยกับรองเท้ารุ่นนี้ ด้วยการใช้สีมิ้นที่กำลังได้รับความนิยมมาเป็นตีมหลักแต่ก็ยังมีสีอื่นๆมาให้เลือกอีกหลากหลายสี  พร้อมกับดีไซด์ที่สวยหรูน่าเป็นเจ้าของอย่างยิ่งครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.siamsneaker.blogspot.com/

Van Syndicate x GOLFWANG

Van Syndicate x GOLFWANG







ตามที่สัญญาไว้วันนี้ผมจะนำข้อมูลของรองเท้าvansมาเสนอ ในรุ่นของ Van Syndicate x GOLFWANG 


 Vans แบรนด์รองเท้าสเก็ตและสตรีทแวร์ได้ดึงทาง Golf Wang มาร่วมออกรองเท้าในรุ่นพิเศษของพวกเค้า โดยการออกแบบได้เลือกใช้รองเท้าในรุ่น Vans Syndicate Old Skool Pro โดยทรงของรองเท้นนั้นชื่อก็บอกตรงตัวของมันเองอยู่แล้วว่า OS วัสดุที่ใช้นั้นทำจากหนังกลับทั้งคู่ บริเวณลิ้นรองเท้านั้นมีโลโก้หน้าแมวที่เป็นเอกลักษณ์ของวง และในส่วนของส้นรองเท้าปักตัวอักษรคำว่า Golf Wang เอาไว้ มีด้วยกัน 4 สีคือ แดง ดำ ฟ้า และครีม


ภาพของ golf wang

กล่าวถึงรองเท้ารุ่นนี้นั้นได้เกิดจากการที่ืvansได้ดึงนักร้องhiphopที่มีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์ของตัวเองสูงอย่างวง Odd Future Wolf Gang Kill Them All ( OFWGKTA ) หรือที่รู้จักกันสั้นๆอีกชื่อว่า Golf Wang มาร่วมออกรองเท้าในรุ่นนี้ครับ




รองเท้ารุ่นนี้นั้นมีดีไซด์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูงและที่ส้นรองเท้ายังเขียนคำว่า Golf Wang อีกด้วยครับ

ขอขอบคุญข้อมูลจาก
http://sneakergamoz.wordpress.com/2013/08/28/van-syndicate-x-golfwang/#more-388

ประวัติของ vans

 ประวัติของ vans


วันนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของประวัติของ vansกันครับ
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900-1965 บริษัทผลิตรองเท้าเจ้าใหญ่ๆในอเมริกา
มีเพียงสองเจ้าเท่านั้นคือ CONVERSE RUBBER และ US.Keds(Keds,Pro Keds) 
เป็นบริษัทที่ได้รับการกล่าวถึงว่า”ผลิตรองเท้าที่สามารถบ่งบอกถึงความเป็นอเมริกันชนได้ดีที่สุด”
เพราะมีความทนทาน มีการออกแบบดีและราคาถูกจึงทำให้ได้รับความนิยมอย่าง มาก
ถึงขนาดที่ว่าเดินไปไหนก็จะต้องเห็นคนใส่รองเท้าสองยี่ห้อนี้ในชีวิตประจำวันจานมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนอเมริกาไปเลย
จนกระทั่งปี 1966รองเท้ายี่ห้อนึงได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายมาเป็นรองเท้าระดับตำนานจนถึงวันนี้
รองเท้าสุดแนวยี่ห้อนั้นชื่อ”VANS”ได้ถือกำเนิดขึ้นจากชายผู้มีความรักและชื่นชอบรองเท้าเขาต้องการผลิตรองเท้า
ที่มีรูปแบบเป็นของตัวเอง มีความทนทานต่อทุกสภาพการใช้งานและราคาไม่แพง
และชายผู้นั้นชื่อ”Paul Van Doren”
ก่อนที่เขาจะมาผลิตรองเท้าที่เป็นยี่ห้อของตัวเอง Paul ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตรองเท้าชื่อ”Randolph Rubber”
ทีซึ่งเขาได้ทำงานผลิตรองเท้ากว่า 20ปี ประสบการณ์ที่นี่เป็นประโยชน์กับเขาอย่างมากในเวลาต่อมา
เมื่อ Paulมีความตั้งใจที่จะผลิตรองเท้าในแบบของตนเอง และในปีนี้เองบริษัท ” Van Doren The Rubber”
บริษัทที่มีความชำนาญในด้านการผลิตรองเท้า จึงได้ถือกำเนิดขึ้นจากการรวบรวมผู้ที่มีความสามารถ มากประสบการณ์ ในด้านต่างๆ
ที่มีความต้องการเดียวกันคือ”ผลิตรองเท้าที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง”
ประกอบด้วย   Paul Van Doren ผู้ชำนาญการด้านการตัดเย็บและผลิตรองเท้า
Jim Van Doren (พี่ชาย Paul)ผู้ชำนาญการด้านเครื่องจักรในการผลิต
Serge D’Ella และ Gordy Lee ผู้ชำนาญการด้านการออกแบบ
     ทั้งหมดคือกำลังหลักในการทำให้รองเท้า VANS มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนโลกจนถึงวันนี้
Paul ได้ทำการสั่งซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิต รองเท้าเพื่อที่จะมาสร้างโรงงานแห่งแรกขึ้นที่”แคลิฟอร์เนีย”
การขนส่งเครื่องมือเครื่องจักรมาทุกทางเท่าที่จะมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรือ,รถบรรทุกขนาดใหญ่,รถไฟ
เพราะทั้งหมดเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ การขนส่งจึงใช้เวลานานและยากลำบาก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Paul
งานนี้ Jim Van Doren ตอนนั้นอาศัยอยู่ที่ Costa Mesa รับอาสาทำแม่พิมพ์รองเท้าต้นแบบ
ให้กับ VANSด้วยตัวเองโดยได้ออกแบบแม่พิมพ์รองเท้าผู้ชายขึ้นเป็นแบบแรก และของเด็กชายในเวลาต่อมา
โดย Jim ตั้งชื่อแม่พิมพ์ว่า”the waffle sole”หรือพื้นรูปขนม waffle นั่นเอง
ในการเริ่มผลิตรองเท้าในตอนแรกนั้นเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะ Paulเป็นช่างรองเท้าโดยพื้นฐาน ไม่ใช่นักบัญชีและการตลาด
แต่เขากลับต้องเริ่มทำเองทุกขั้นตอนเพื่อเรียนรู้ในระบบธุระกิจที่เขาเองได้เริ่มขึ้น การตลาดในตอนแรกเป็นแบบ”ขายตรง”
เพราะเขาไม่ต้องการให้ใบสั่งสินค้ามาเป็นตัวกำหนดทิศ ทางการผลิตรองเท้าและบั่นทอนจินตนาการของทีมงาน
บ่อยครั้งที่ Paul จะบอกกับทีมงานและพนักงานให้เข้าใจถึงหลักการว่า..
“ถ้าต้องการจะทำ VANS เป็น VANS เราจะต้องรักษามาตรฐานในการผลิตเอาไว้เพราะมาตรฐานคือจุดขายของ
“VANS”



vansมีทั้งทรงhighและlowในปัจจุบัน

16 มึนาคม 1966 VANS STORE แห่งแรกได้เปิดขึ้นที่  704E Broadway @ Anaheim,California
และด้วยความใหม่ของกิจการปัญหาจึงมีขึ้นมา”ลองวิชา”กับพ่อค้าหน้าใหม่
วันนั้นมีลูกค้า 16รายต้องการรองเท้าแต่ของขายหมดแม้แต่สินค้าตัวโชว์
Paulจึงให้ลูกค้าจดชื่อรุ่นและสีของรองเท้าที่ลูกค้า ต้องการไว้ แล้วให้มารับของในวันต่อไป
มารับของพรุ่งนี้ 16คู่ไม่ใช่ปัญหา
ปัญหาคือของที่ลูกค้าสั่งอยู่ที่อื่น นั่นหมายความ ว่าค่าใช้จ่ายในการส่งต้องเพิ่มขึ้น…
ในวันรุ่งขึ้นลูกค้ามารับของตามนัดทุกคนได้ครบ
Paulคิดราคาเดิมไม่ได้มีการเพิ่มราคาแต่อย่างใดกระทั่งที่ตัวเองต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มในการขนส่ง
รองเท้าคู่แรกของ Vans ที่ขายได้เป็นรองเท้าผู้ชายรุ่น“VANS #44 DECK SHOES”
หรือที่รู้จักกันในชื่อรุ่น “AUTHENTIC” ในปัจจุบัน ขายไปในราคา”4.49$”และของผู้หญิงขายไปในราคา “2.29$”
6เดือนแรกของ VANS เปิดทั้งหมด 10 store แต่ยอดขายบอกว่า VANS ขาดทุนไป 6ใน10แห่งของ storeที่เปิดมา
และใน 25สัปดาห์แรกของการเปิดบริษัท store จำนวนทั้งหมด 20แห่ง ทำไมถึงเปิดเยอะ?
นั่นเป็นเพราะ Paul ต้องการเพิ่มรายรับจากการขายรองเท้าให้มากขึ้นนั่นเอง
และเมื่อต้องการประหยัดเพราะเพิ่งเปิดกิจการ ในสาขานี้”ผู้จัดการสาขาคนแรกคือ เมียของ “Paul” นั่นเอง
ส่วนพนักงาน “Part timeคนแรกคือ Kathy Van Doren” ลูกสาวของเขา
ตอนนั้น “Steve Van Doren” ลูกชายของเค้าซึ่งกลายมาเป็นผู้ที่ดูแลกิจการในเวลาต่อมา
มีอายุแค่ 10ขวบ แต่ในทุกๆวันหยุด “Steve Van Doren”
จะต้องมาช่วยทำงานที่ store ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง
ในขณะที่”Paul Van Doren” จะออกไปสำรวจหาทำเลทองเพื่อที่จะเปิด Storeแห่งใหม่

นี่คือบุคคลผู้สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ Steve Vans Doren


ก้าวเข้าช่วงต้นทศวรรษที่ 70 sketeboard กีฬาสุดฮิตและมันส์ถูกใจวัยรุ่น
ได้รับความนิยมอย่างมากในทุกแห่งหนของอเมริกา แต่เป็นการเล่นเพียงแค่ไสไปไสมาแค่นั้น
จนกระทั่งมีแก๊งค์ยอดมนุษย์ที่บูชาความตื่นเต้นเป็นชีวิตจิตใจ
การไสไปไสมาไม่ได้ทำให้ชีวิตพวกเขามีสีสันมากขึ้น
ท่วงท่าลีลาในการเล่นแปลกๆ สถานที่ท้าทายความสามารถถูกคิดค้นและแสวงหามาสนองความต้องการอย่างไม่หยุดหย่อน
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพัฒนาให้เป็นไปในแบบที่ควรจะเป็น
sketeboardทนทานมีสีสันสวยงามฉุดฉาดมากขึ้น
เสื้อผ้า-หน้า-ผม ของเด็กบอร์ดมีแนวเป็นของตัวเอง
จนกลายเป็นต้นฉบับของคำว่า STREET WEAR FASHION”
หมวกกันน็อก สนับเข่า สนับแขนออกแบบมาเพื่อป้องกันการเจ็บตัวจากความห่ามที่มีเพิ่มขึ้น
(ความมันส์บนความเดือดร้อนของชาวบ้านและตัวเอง)
ทุกอย่างดีหมดเข้าท่าเข้าทางหมด จะขาดก็แต่รองเท้า เจ๋งๆ
ในตอนนั้นรองเท้าที่ใส่เล่น Skete ก็หามาใส่กันตามมีตามเกิด
ไม่ได้มียี่ห้อไหนที่ได้รับสิทธิ์อันชอบธรรมได้รับคะแนนเสียงล้นหลาม
จากเด็กบอร์ดว่าต้องใส่ยี่ห้อนี้นะเว้ยยย
Paul vans doren เห็นช่องทางทำมาหากินของขึ้นมาลางๆ
เค้า คิดว่าถ้าอยากอยู่บนเส้นทางของตลาดรองเท้าเขาจะต้องเป็นผู้นำในตลาด รองเท้า Skate เพราะตอนนั้น CONVERSE RUBBER ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินด้านรองเท้า bassket ball ส่วน US KEDS ก็หันไปจับตลาดรองเท้าแนวบ้านๆที่ใส่สบาย
ถ้าจะไปขอแบ่งพื้นที่ตรงนั้น Paul เห็นว่าคงเป็นการยาก
รองเท้า Skate เนี่ยแหละไร้คู่แข่ง  เหมือนพระเจ้าชอบรองเท้า VANS
จึงบันดาลให้ TONY ALVA,STACY PERATTA นัก Skate ชื่อดังแห่งยุคและลูกสมุน
ที่ตามล่าหารองเท้าที่เจ๋งๆสำหรับเล่นบอร์ดได้มาเจอ VANS
วางขายอยู่ใน Spotting Vans Store,California ทางใต้
ลองหยิบไปใส่เพื่อลองของแปลก ด้วยความหนึบของพื้นรองเท้า
ที่ไม่มีรองเท้ายี่ห้อไหนทำมาก่อน
“ทำไมที่อื่นไม่เคยเห็นมีขายวะ” พวกเขาสงสัย นั่นเป็นเพราะตอนนั้น VANS เป็นรองเท้าที่
ทำขายเฉพาะใน California ทางใต้เท่านั้น จึงทำให้มันไม่ค่อยดัง
(ตอนนี้แทบพลิกแผ่นดินหา)
VANS ทำให้พวกเขาใช้พรสวรรค์และความห่ามได้อย่างเต็มที่
“ยี่ห้อเนี๊ยะแหละวะเจ๋งสุดตั้งแต่เล่นบอร์ดมา”
คำสบถของสาวกของ TONY ALVA,STACY PERATTA ที่พูดตอนนั้นและได้รับการบอกเล่าในเวลาต่อมา
นับตั้งแต่นั้นเมื่อหัวหน้าแก๊งค์ยอดมนุษย์ใส่vans ความนิยมอย่างบ้าคลั่งจึงตามมา ถึงขนาดทำขายกันไม่ทันเลยทีเดียว
ชนิดที่ว่าสินค้าบางอย่างมาแจกฟรียังหมดช้ากว่า vansซะอีก
(รู้ไว้ซะเค้าฮิตกันนานแล้ว…บ้านเราแม่-งต่อแล้วต่ออีก)
VANS ในยุคแรกๆไม่มีอะไรที่บอกได้ถึงสัญลักษณ์ความเป็นตัวตนของ VANS ซักอย่าง
ในขณะที่ NIKE (ภาษากรีกแปลว่าชัยชนะ) รองเท้ากีฬาที่ถูกเสมอ 
(ดูที่โลโก้ว่าจริงป่าว)
ได้คิดค้นเครื่องหมายทางการค้าในช่วงต้นทศวรรษที่ 70โดยมีสัญลักษณ์เป็นเครื่องหมายถูก(swoosh)
ส่วน ADIDAS ก็เหมือนกันออกแบบเครื่องหมายการค้าครั้งแรกในปี 1949
มีชื่อว่า “3 strip”รูปใบไม้ 3แฉก (พวกสาวก bob marleyที่มีจินตนาการสูงบอกว่าเป็นใบกัญชาซะงั้น)
VANS ก็อยากมีกะเค้ามั่ง Poul vans doren จึงได้ลองออกแบบอย่างคร่าวๆคิดไปคิดมาขีดๆเขียนๆ
จนได้แบบที่ลงตัวและคิดว่า”นี่แหละวะโลโก้เรา”เขาจึงนำเอารูปแบบเครื่องหมายการค้าไปจดสิทธิบัตร
เพื่อปกป้องสิทธิของเขาเองในภายภาคหน้า
(แต่ตอนนี้ก็ยังไม่วายโดนก๊อปมีตั้งแต่ก๊อปแท้,ก๊อปเทียม,ก๊อปซ้อนก๊อป ช่างมีความพยายามกันมากกกก)
และ Paul vans doren ได้นำต้นแบบของเขาปรึกษาเพื่อนผู้มีความชำนาญในการตัดเย็บเครื่องหนัง ที่ BOSTON
ถึงความเป็นไปได้มั๊ยถ้าจะเอามันมาเป็นส่วนหนึ่งในด้านข้างของรองเท้า ลุงสองคนลงความเห็นว่า”มันเจ๋งว่ะ”
พวกเค้าตั้งชื่อแถบคลื่นด้านข้างเท้าว่า”Jass Stripe”(เส้นสายสนุกสนานเหมือนดนตรีแจ๊ส)
Jass Stripe ได้รับเกียรติให้แปะลงไปในรองเท้า Vans
รุ่น Old Skool,style 36(Old Skool sk8 และ Old Skool)
และออกวางขายครั้งแรกในปี 1977 และเป็นรองเท้า Skate รุ่นแรกที่มีหนังติดอยู่ที่รองเท้า
Icon สุดเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความแยบคายในการออกแบบได้ เป็นที่รู้จักตั้งแต่วันนั้น

อัดแน่นจริงๆครับในครั้งนี้กับประัวัติของรองเท้าสุดฮิตอย่าง vans แต่ด้วยความอัดแน่นนี้เองจึงทำให้ผมต้องยกยอดการแนะนำรองเท้าของ vans ออกไปเป็นครั้งหน้า หวังว่าจะให้อภัยกันนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก

Converse One Star

Converse One Star
วันนี้ผมจะนำข้อมูลของรองเท้าแบรนด์converseมาให้ทุกคนได้ทราบกันนะครับหลังจากก่อนหน้านี้จะหนักไปทางadidasและnikeซะเป็นส่วนใหญ่


Converse One Star ผลิตครั้งแรกในปี 1974 ผลิตออกมาโดยใช้การแยกวัสดุออกเป็น 3 ชนิด คือ หนังกลับหยาบๆ (wool), ผ้าใบ (canvas) และ หนังเทียม (leather)
soft พื้นในยุคแรกจะเป็น “ป้ายกรอบสีน้ำเงิน พร้อมคำว่า Converse Made in USA สีดำ”
ป้ายส้นเท้า (heel) จะเป็น “ป้ายดำ (เหมือน Chuck Taylor)”


ต่อมาช่วงปี 1980′s มีการผลิต One Star ออกมาโดยใช้หนังกลับ (suede) เป็นวัสดุใหม่ในการผลิตแต่เนื่องจากเทคโนโลยีการย้อมไม่ทันสมัยมากนัก และยังไม่สามารถหาวิธีการที่ทำให้เกิดควบคุมไม่ให้สี ตกได้
(เหมือนที่รองเท้าเราสีตกโดยไม่มีสาเหตุในทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็น Jack Purcell, One Star ฯลฯ ที่เป็นหนังกลับ)
เพื่อไม่ให้เกิดการฟ้องร้องขึ้น เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีกฎหมายเข้มงวดมากที่สุดประเทศนึงในโลก Converse จึงแก้ไขโดยใช้คำว่า
“Assembled in U.S.A. of U.S. and Foreign Components” (รวบรวมวัสดุและทำการประกอบในอเมริกา) แทนคำว่า “Made in USA” เฉพาะในรุ่นที่เป็นหนังกลับ
ส่วนตรงส้นรองเท้าจะเป็นป้ายดำแล้วมีแค่คำว่า One Star ซึ่งเป็นชื่อรุ่นเท่านั้น
เพราะสำหรับอเมริกาแล้วสินค้าหรืผลิตภัณฑ์ใดก็แล้วแต่ที่ผลิตให้อเมริกันชนใช้กันนั้นจะต้องมีมาตรฐานสูง
เค้าให้ความสำคัญกับทรัพยากรคนมากดังนั้นอะไรก็ตามที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อประชาชนชาวอเมริกันนั้นหากผิดพลาด จะต้องถูกดำเนินคดีขั้นสูงสุดตามที่เราเห็นกันบ่อยๆ
One Star บางคู่ข้างในรองเท้าข้างนึงเป็น “Made in USA” แต่อีกข้างนึงเป็น “Assembled” นั่นเป็นเพราะใช้การผลิตแบบ “hand made”
ความผิดพลาดจึงเกิดขึ้นได้
แต่สำหรับนักเล่นในบ้านเรา ไม่นิยมชมชอบในสเน่ห์ตรงนี้แต่กลับไปสนใจในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องกันซะส่วนใหญ่
ส่วนเรื่อง “Assembled” กับ “Made in USA” ผลิตมาใกล้ๆกัน
แต่ถ้าเป็นรุ่นที่มี stam ด้านซ้ายที่ลิ้นรองเท้านั่นคือรุ่นที่ผลิตปี 1998-2003
บางคนยังสงสัยต่ออีกว่า ทำไมหนังกลับรุ่นที่มี stam ซ้าย ถึงใช้ “Made in USA” ทั้งๆที่สีก็ยังตกอยู่…ตอบเลยว่าไม่รู้จริงๆยังสงสัยเหมือนกัน
เคยมีคนมาโพสบอกว่า One Star รุ่นที่เป็น “Assembled” นั้นไม่ใช่รองเท้า American Vintage แท้ๆเพราะรองเท้ารุ่นนี้ใช้วัสดุจากต่างชาติ แล้วมาทำการประกอบในอเมริกานั้น
สำหรับผม…ไม่ว่ารองเท้าหรือของ vintage นั้นจะผลิตที่ไหน ใช้วัสดุอะไรก็แล้วแต่ถือเป็นของ vintage ทั้งสิ้น
ต่อให้ผลิตในป่าแต่ผลิตช่วงปี 80′s มันก็คือ vintage อยู่ดี หรือวัสดุจะเอามาจากดาวอังคาร vintage ก็จะยังคงต่อท้ายชื่อของมันสำหรับผมถ้ามันอยู่ในยุคนั้น
ฝรั่งใช้การเรียกของเหล่านี้คือ….ถ้าผลิตก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ฝรั่งจะเรียกของพวกนี้ว่า “Antiques”
แต่ถ้าผลิตหลังสงครามโลกครั้งที่ 1-ปลายปี 80′s ฝรั่งจะเรียกของพวกนี้ว่า “Vintage
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  http://sneakergamoz.wordpress.com/2013/07/10/converse-one-star/

adidas campus vulc

adidas campus vulc




ทำไปทำมาก็วนกลับมาที่adidasอีกครั้งแล้วครับ ยิ่งทำก็ยิ่งหลงรักแบรนด์นี้เข้าทุกวันจริงๆ วันนี้จะมานำเสนอในรุ่น adidas campus vulc กันครับ


รองเท้าสเก็ตบอร์ดรุ่นยอดนิยมของ Adidas Skateboarding คือ adidas campus vulc ถูกออกแบบโดยพัฒนามาจากรองเท้าสุดคลาสสิครุ่นยอดนิยม adidas original รุ่น campus 
หลังจากได้พัฒนานามาเป็น adidas campus vulc ก็ไม่ทำให้สาวก adidas ผิดหวัง เนื่องจาก adidas campus vulc มีรูปทรงที่ลงตัวทั้งในแง่ของความสวยงามที่ยังคงความคลาสสิคบวกกับความทนทาน เนื่องจากตัวรองเท้าเป็นหนังกลับ ซึ่งมีคุณสมบัติในการยึดเกาะกับ Grip Tape (กระดาษทรายที่แปะอยู่ด้านบนของสเก็ตบอร์ด) บุด้านในรองเท้าอย่างหนาช่วยให้สวมใส่ได้กระชับ แต่ไม่อึดอัด




แผ่นรองเท้าด้านในผลิตจากวัสดุโพลียูรีเทน (PU) ซึ่งมีคุณสมบัติในการรองรับแรงกระแทก (SHOCK ABSORBING) นุ่มสบายมาก ไม่ว่าจะใส่เดินหรือใส่เล่นสเก็ตบอร์ดก็มั่นใจได้ทุกย่างก้าว




ต้องขอบอกเลยนะครับว่ารองเท้าคู่นี้เนี้ย เป็นสุดยอดรองเท้าสเก็ตบอร์ดจากทางadidasเขาจริงๆครับทั้งยึดเกาะได้ดี ปกป้องเท้า และยังมีดีไซด์ที่สวยงามคลาสสิคอีกด้วย เป็นรองเท้าอีกคู่หนึ่งที่น่าสะสมจริงๆครับ



ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.siamsneaker.blogspot.com/